วิธีสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน ( Co – operative Leaning )
ความหมาย เป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ผู้เรียนทำงานร่วมกันและช่วยเหลือ กันในชั้นเรียน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียน และยังเพิ่มปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกัน สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เรียนทุกคน นอกจากนี้ยังเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอีกด้วย เพราะใน ชั้นเรียนมีความร่วมมือ ผู้เรียนจะได้ฟัง เขียน อ่าน ทวนความ อธิบาย และปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียน จะเรียนด้วยการลงมือกระทำ ผู้เรียนที่มีจุดบกพร่องจะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม
ความมุ่งหมายของการสอน ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงาน รับผิดชอบ ร่วมกัน คือ การให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม โดยยังคงรักษา สัมพันธภาพที่ดีต่อสมาชิกกลุ่ม ในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมนั้น จุดมุ่งหมายอยู่ที่การทำงานให้ สำเร็จเท่านั้น
ขั้นตอนการสอนมี 5 ชั้น ดังนี้
1. แนะนำ ด้วยการบอกว่าชั้นเรียนแบ่งเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละกี่คน สมาชิกแต่ละคน ต้องรับผิดชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้ได้มากที่สุด แต่ละกลุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญใน หัวข้อนั้น มีหน้าที่จะสอนกลุ่มอื่น ๆ ดัวย ทุกคนจะได้รับเกรดรายบุคคล และเป็นกลุ่ม
2. แบ่งกลุ่มให้คละกัน แล้วให้กลุ่มตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้าย นิเทศ ผู้สอนแจ้งกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม
ก. ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม
ข. แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้ เสร็จสมบูรณ์
ค. ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ก่อนที่จะถามผู้สอน
3. สร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วย เนื้อหา ถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อเดียวกันจะศึกษา เรื่องนั้นด้วยกัน เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็เตรียมตัววางแผนกการสอนเพื่อกลับไปสอนสมาชิกใน กลุ่มเดิมของตน
4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนจะผลัดกันสอนเรื่องที่ไปศึกษามา ตรวจสอบความเข้าใจ และช่วยเพื่อนสมาชิกในการเรียน
5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอน เพิ่มเติมหรือไม่ให้เกรด และคิดคะแนนกลุ่ม
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วิธีการสอนแบบโครงงาน
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรือการค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ผู้เรียนอยากรู้หรือสงสัยด้วยวิธีการต่างๆ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เลือกศึกษาตามความสนใจของตนเองหรือของ กลุ่มเป็นการตัดสินใจร่วมกัน จนได้ชิ้นงานที่สามารถนำผลการศึกษาไปใช้ได้ในชีวิตจริง การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคหลากหลายรูปแบบนำมาผสมผสานกันได้แก่ กระบวนการกลุ่ม การฝึกคิด การแก้ปัญหา การเน้นกระบวนการ การสอนแบบปริศนาความคิด และการสอนแบบร่วมกันคิด เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากความสนใจ อยากรู้ อยากเรียนของผู้เรียนเอง โดยใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการเรียนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงกับแหล่ง ความรู้เบื้อง สามารถสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับหลักการพัฒนาการคิดของ บลูม (Boom) ดังนี้
1. ความรู้ความจำ
2. ความเข้าใจ
3. การนำไปใช้
4. การวิเคราะห์
5. การสังเคราะห์
6. การประเมินค่า
การเรียนรู้แบบโครงงาน และยังเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการ เรียนรู้ ตั้งแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์
กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจ ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เลือกเรื่องที่จะศึกษาร่วมกัน
ระยะที่ 2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา แล้วตั้งสมมุติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จมีกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ ดังนี้
1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็กๆ
2. ผู้เรียน นำเสนอผลงาน (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ สรุปและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ขั้นตอน การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
1. ขั้นนำเสนอ
2. ขั้นวางแผน
3. ขั้นปฏิบัติ
4. ขั้นประเมินผล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: เรียบเรียงจาก หนังสือ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ /ปีที่พิมพ์ 2550
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรือการค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ผู้เรียนอยากรู้หรือสงสัยด้วยวิธีการต่างๆ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เลือกศึกษาตามความสนใจของตนเองหรือของ กลุ่มเป็นการตัดสินใจร่วมกัน จนได้ชิ้นงานที่สามารถนำผลการศึกษาไปใช้ได้ในชีวิตจริง การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคหลากหลายรูปแบบนำมาผสมผสานกันได้แก่ กระบวนการกลุ่ม การฝึกคิด การแก้ปัญหา การเน้นกระบวนการ การสอนแบบปริศนาความคิด และการสอนแบบร่วมกันคิด เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากความสนใจ อยากรู้ อยากเรียนของผู้เรียนเอง โดยใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการเรียนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงกับแหล่ง ความรู้เบื้อง สามารถสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับหลักการพัฒนาการคิดของ บลูม (Boom) ดังนี้
1. ความรู้ความจำ
2. ความเข้าใจ
3. การนำไปใช้
4. การวิเคราะห์
5. การสังเคราะห์
6. การประเมินค่า
การเรียนรู้แบบโครงงาน และยังเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการ เรียนรู้ ตั้งแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์
กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจ ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เลือกเรื่องที่จะศึกษาร่วมกัน
ระยะที่ 2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา แล้วตั้งสมมุติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จมีกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ ดังนี้
1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็กๆ
2. ผู้เรียน นำเสนอผลงาน (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ สรุปและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ขั้นตอน การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
1. ขั้นนำเสนอ
2. ขั้นวางแผน
3. ขั้นปฏิบัติ
4. ขั้นประเมินผล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: เรียบเรียงจาก หนังสือ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ /ปีที่พิมพ์ 2550
วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
การหาค่าวันเดือนปี เรียนใน Excel เจ้า
1. การกำหนดวันเดือนปีและเวลาปัจจุบันใช้สูตร =now()
การหาปี ค.ศ. ปัจจุบัน
ฟังก์ชั่น TODAY() บอก วันเดือน ปี ปัจจุบัน เป็น ระบบ ค.ศ.
ฟังก์ชั่น YEAR() รับค่า วันเดือนปี และ ส่งค่าเฉพาะ ปี ออกมาให้
ดังนั้น ถ้าส่งค่า TODAY() เข้าสู่ฟังก์ชั่น YEAR ก็จะได้ ปี ค.ศ. ปัจจุบัน ดังนี้
=YEAR(TODAY())
2. การหาปีเกิด ของสมาชิก เป็นปี ค.ศ.
ส่งค่า วัน เดือน ปี เกิดของสมาชิก ซึ่งจากตัวอย่าง อยู่ในช่อง C2 เข้าฟังก์ชั่น YEAR() เพื่อ คำนวณหาปีเกิด ดังนี้
YEAR(C2)
แต่เนื่องจาก ค่าที่ได้คือ ค.ศ. 2525 จึงต้องลบออกเสีย 542 ปี เพื่อให้ถูกต้อง จึงเป็น
YEAR(C2)-543
3. การคำนวณหาอายุ
นำค่าที่ได้จาก 2 ไปลบออกจาก 1 ก็จะได้ จำนวนปีของสมาชิกรายนี้
วิธีการ
1. คลิกที่ช่อง D2 ซึ่งจะบอกจำนวนปี
2. พิมพ์ สูตรเพื่อคำนวณหาอายุ ในช่อง Formula Bar ดังนี้ พิมพ์วันเดือนปีเกิดC3 และพิมพ์สูตรที่ D3 =YEAR(TODAY())-(YEAR(C3)-543)
คลิกขวาที่D3คลิกจัดรูปแบบเซลล์>ตัวเลข (Number)>ทั่วไป (Genernal)
4. การหาส่วนต่าง ระหว่างเวลา ก็คือ DateDif( วันเริ่ม , วันสุดท้าย , ประเภทของช่วงเวลาที่ต้องการ )
ให้ B2 เป็นวันเริ่มต้น แล้ว C2 เป็นวันสุดท้ายสังเกตประเภทของช่วงเวลาที่เราต้องการหาจะเปลี่ยนไป
1. หาจำนวนปี =DATEDIF(B2,C2,"Y")
2. หาจำนวนเดือน =DATEDIF(B2,C2,"YM")
3. หาจำนวนวัน =DATEDIF(B2,C2,"MD")
การอ้างอิงสูตร สำหรับเรียน EXCEL เน้อ
การอ้างอิงเซลล์หรืองช่วงเซลล์ในสูตร
การคำนวณโดยการอ้างอิงเซลล์ หรือช่วงเซลล์ที่กำหนด จะทำให้เกิดความรวดเร็วในการคำนวณ เนื่องจากไม่ต้องแก้ไขสูตรทุกครั้ง เมื่อทำการเปลี่ยนแปลงค่าคงที่อยู่ในเซลล์ โปรแกรมจะคำนวณอัตโนมัติ การเขียนสูตรโดยการใช้ตำแหน่งอ้างอิงของเซลล์จะดีกว่าการใช้ข้อมูลที่อยู่ในแต่ละเซลล์โดยตรง เพราะเมื่อค่าที่เป็นตัวตั้งในสูตรเปลี่ยนไป ผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณจะเปลี่ยนตามโดยอัตโนมัติ
. อ้างอิงแบบสัมพัทธ์ (Relative) หมายความว่า เซลล์ใด ที่มีการอ้างอิงแบบสัมพัทธ์ เมื่อถูกสำเนาไปยังเซลล์ใหม่ เซลล์ที่ถูกอ้างอิงในสูตรจะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ในเซลล์ C1 กำหนดสูตร =A1+B1 ถ้าทำสำเนาสูตรจาก C1 ไป C2 ได้สูตร =A2+B2 ถ้าไปไว้ที่ D1 จะได้สูตร =B1+C1 ตัวอย่าง
การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์(Absolute) หมายความว่าเซลล์ใดที่มีการอ้างอิงแบบสัมบูรณ์ เมื่อถูกสำเนาไปยังเซลล์ใหม่ เซลล์ที่ถูกอ้างงอิงในสูตรแบบสัมบูรณ์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตังอย่าง ในเซลล์ B4 กำหนดสูตร =$B$2+$C$3 ถ้าทำการสำเนาสูตร =$B$2+$C$3 จากเซลล์ B4 ไปยังเซลล์ C5 สูตรใน C5 เหมือนเดิม ตัวอย่าง
การอ้างอิงแบบผสม (Mixed) หมายถึงการระบุชื่อเซลล์ในสูตรสามารถระบุแบบผสมระหว่างแบบสัมพัทธ์ และแบบสัมบูรณ์ได้ ตัวอย่างเช่น ในเซลล์ D3 กำหนดสูตร =C$3 ความหมายว่า ไม่ว่าจะคัดลอกสูตรในเซลล์ D3 ไปไว้ที่ใดในแผ่นงานแถวยังเป็นแถวที่ 3 แต่คอลัมน์จะเปลี่ยนไปและถ้าในเซลล์ D3 กำหนดสูตร =$C3 หมายความว่า ไม่ว่าจะคัดลอกเซลล์ D3 ไปไว้ที่ใดในแผ่นงานคอลัมน์ยังคงเป็น C แต่ตัวเลขแถวจะเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนชนิดของการอ้างอิง
ถ้าหากต้องการเปลี่ยนชนิดของการอ้างอิง สามารถทำได้โดย
วิธีที่ 1
1. เลือกเซลล์ที่ต้องการเปลี่ยนการอ้างอิง
2. พิมพ์เปลี่ยนการอ้างอิงที่แถบของสูตรตามที่ต้องการ
3. กด Enter
วิธีที่ 2
1. เลือกเซลล์ที่ต้องการเปลี่ยนการอ้างอิง
2. กดปุ่ม F2 เพื่อขอแก้ไขสูตร และกดปุ่ม F4 จะปรากฏชนิดของการอ้างอิงแต่ละชนิดตามที่ต้องการ โดยจะมีรูปแบบของการใส่เครื่อง $ กำกับเซลล์
3. กด Enter เมื่อเลือกชนิดตามที่ต้องการได้แล้ว
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใส่สูตร
1. สูตรที่ใส่ในเซลล์จะปรากฏให้เห็นในช่องของแถบสูตร
2. ค่าที่เป็นผลลัพธ์ของสูตรจะปรากฏอยู่ในเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์
3. ค่าที่ใส่ในสูตรถ้าเป็นชื่อเซลล์จะหมายถึงการนำค่าที่อยู่ในเซลล์นั้นมาคำนวณ
2. ค่าที่เป็นผลลัพธ์ของสูตรจะปรากฏอยู่ในเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์
3. ค่าที่ใส่ในสูตรถ้าเป็นชื่อเซลล์จะหมายถึงการนำค่าที่อยู่ในเซลล์นั้นมาคำนวณ
การป้อนสูตรใน EXCEL
การป้อนสูตรในการคำนวณ
1. คลิกเมาส์เลือกเซลล์ที่จะป้อนสูตรคำนวณหาผลรวม
2. พิมพ์เครื่องหมาย = ตามด้วยตำแหน่งของเซลล์ที่ต้องการนำมาคำนวณหาผลรวม เช่น =D4+D5+D6+D7+D8
3. กด Enter เมื่อเขียนสูตรเสร็จ ถ้าพิมพ์สูตรผิด Excel ไม่สามารถคำนวณได้ จะแสดง ERR! ในเซลล์ที่ใช้สูตรคำนวณนั้น
การป้อนสูตรคำนวณในแถบสูตร คลิกที่เซลล์ต้องการป้อนสูตร พิมพ์สูตรคำนวณในแถบสูตรกด Enter
การป้อนสูตรคำนวณโดยใช้เมาส์ช่วย
1.คลิกเมาส์ที่เซลล์ต้องการป้อนสูตรคำนวณและพิมพ์เครื่องหมาย =
2. นำเมาส์คลิกเซลล์ใช้คำนวณ
3. พิมพ์เครื่องหมาย + คลิกเซลล์ที่ใช้บวกต่อไปพิมพ์เครื่องหมาย + คลิกเซลล์ที่ใช้
4.กด Enter
1.คลิกเมาส์ที่เซลล์ต้องการป้อนสูตรคำนวณและพิมพ์เครื่องหมาย =
2. นำเมาส์คลิกเซลล์ใช้คำนวณ
3. พิมพ์เครื่องหมาย + คลิกเซลล์ที่ใช้บวกต่อไปพิมพ์เครื่องหมาย + คลิกเซลล์ที่ใช้
4.กด Enter
สรุปการป้อนสูตรในการคำนวณ
1. ถ้าค่าที่คำนวณเป็นตัวเลขเกิน 10หลัก และรูปแบบตัวเลขเป็นแบบทั่วไป คอมพิวเตอร์จะเขียนให้เป็นเลขยกกำลัง เช่น 8.98 E + 10107 ถ้าต้องการให้แสดงเป็นตัวเลขปกติต้องเปลี่ยนรูปแบบเซลล์เป็นแบบตัวเลข2. ถ้านำข้อมูลต่างประเภทกันมาคำนวณ คอมพิวเตอร์จะแจ้งข้อความว่าผิอดพลาดเป็น # VALUE
3. ข้อมูลประเภทตัวอักษรในแต่ละเซลล์นำมาเชื่อมกันได้โดยใช้เครื่องหมาย &
4. ถ้าใช้สัญลักษณ์ในการคำนวณที่คอมพิวเตอร์ไม่รู้จักจะแจ้งการผิดพลาดเป็น #NAME ถ้าอ้างอิงไม่ถูกต้อง #REF!
5. การเปรียบเทียบค่าระหว่างเซลล์ คอมพิวเตอร์จะแจ้งว่า จริง (True) หรือไม่จริง (False)
เริ่มเรียน EXCEL 2
การใช้สูตรในการคำนวณ
โปรแกรม Microsoft Excel 2007 เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการคำนวณ โดยมีเครื่องมือให้ใช้มากมาย ทั้งในรูปของสูตรหรือฟังก์ชันสามารถใช้ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือสามารถกำหนดให้ด้วยตนเอง โดยที่สูตรเราจะหมายถึงการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ เครื่องหมายในการเปรียบเทียบ เชื่อมข้อความและการอ้างอิง เช่น การบวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น ส่วนฟังก์ชัน เราจะหมายถึง คำสั่งสำเร็จรูปที่ใช้ในการคำนวณ เช่น Sum Average Min Max ฯลฯ
ชนิดของสูตร
โปรแกรม Microsoft Excel 2003 แบ่งชนิดของสูตรออกเป็น 4 ชนิด คือ
1. สูตรในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Formula)
เครื่องหมาย | ความหมาย | ตัวอย่างสูตร |
+ | บวก | =40 + 10 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 50 |
- | ลบ | = 40 – 10 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 30 |
* | คูณ | =40*2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 80 |
/ | หาร | = 40/2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 20 |
% | เปอร์เซ็นต์ | = 40% จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 0.4 |
^ | ยกกำลัง | =40^2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 1600 |
2. สูตรในการเปรียบเทียบ (Comparision Formula)
เครื่องหมาย | ความหมาย | ตัวอย่างสูตร |
= | เท่ากับ | = 40=30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False |
> | มากกว่า | =40>30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ True |
< | น้อยกว่า | =40<30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False |
>= | มากกว่าหรือเท่ากับ | =40>=30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ True |
<= | น้อยกว่าหรือเท่ากับ | =40<=30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False |
< > | ไม่เท่ากับ | 40< >40 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False |
3.เครื่องหมายในการเชื่อมข้อความสองข้อความหรือมากกว่านั้น (Text Formula)
เครื่องหมาย | ความหมาย | ตัวอย่างสูตร |
& | เชื่อมหรือนำคำสองคำมาต่อกันให้เกิดค่า ข้อความต่อเนื่องที่เป็นค่าเดียวกัน | =STORY&BOARD จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ STORYBOARD |
4. สูตรในการอ้างอิง (Text Formula)
เครื่องหมาย | ความหมาย | ตัวอย่างสูตร |
: (Colon) เว้นวรรค (Insection) , (Comma) | บอกช่วงของข้อมูล กำหนดพื้นที่ทับกัน 2 ช่วงเอาข้อมูลทั้ง 2 ช่วงมาเชื่อมต่อกัน | =(B1:B5) =SUM(B1:C1 D1:E5) =Sum(C1:C5,D7:D8) |
ขั้นตอนการคำนวณด้วยตาราง
1. การกำหนดเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์โดยการเลื่อนตัวชี้เซลล์นั้นแล้วคลิก
2. ใส่สูตรเข้าในเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์สูตรจะต้องเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย =
1. การกำหนดเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์โดยการเลื่อนตัวชี้เซลล์นั้นแล้วคลิก
2. ใส่สูตรเข้าในเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์สูตรจะต้องเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย =
ลำดับความสำคัญของเครื่องหมายการคำนวณ
ลำดับ | เครื่องหมาย | รายละเอียด |
1 | ( ) | วงเล็บ |
2 | ^ | ยกกำลัง |
3 | * และ / | คูณและหาร |
4 | + และ - | บวกและลบ |
5 | & | ตัวเชื่อม |
6 | =,<,<= | เท่ากับ น้อยกว่า น้อยกว่าหรือเท่ากับ |
7 | > ,>=, < > | มากกว่า มากกว่าหรือเท่ากับ ไม่เท่ากับ |
หมายเหตุ การทำงานที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะคำนวณจากซ้ายไปขวาตามลำดับ
ตัวอย่างการคำนวณ
รูปภาพปสดงตัวอย่าง การใช้สูตรในการคำนวณ
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใส่สูตร
1. สูตรที่ใส่ในเซลล์จะปรากฏให้เห็นในแถบสูตร
2. ค่าที่เป็นผลลัพธ์ของสูตรจะปรากฏในเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์
3. กรณีที่มีนิพจน์หลายเครื่องหมายจะทำงานตามลำดับเครื่องหมาย
1. สูตรที่ใส่ในเซลล์จะปรากฏให้เห็นในแถบสูตร
2. ค่าที่เป็นผลลัพธ์ของสูตรจะปรากฏในเซลล์สำหรับเก็บผลลัพธ์
3. กรณีที่มีนิพจน์หลายเครื่องหมายจะทำงานตามลำดับเครื่องหมาย
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
แบบประเมิน เน้อ ตอนประเมินการนำเสนองาน
รหัสวิชาชิดมุมขวา |
ตราวิทยาลัย เน้อ |
แบบประเมินผลการนำเสนองาน
ชื่องาน : การนำเสนองาน เรื่อง “............................................................................................................................................”
วันที่ : วันที่............เดือน..................ปี............. เวลา....................... น.
สถานที่ : ............................................................................................................................................................................
กรุณาเขียนเครื่องหมาย ( P ) และแสดงความคิดเห็นลงในช่องว่างเพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุงการดำเนินงานต่อไป
ระดับคะแนน 5 = ดีมาก 4 = ดี 3 = พอใช้ 2 = น้อย 1 = น้อยมาก 0 = ไม่มีความคิดเห็น
(1) ความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรเนื้อหาการนำเสนองาน 5 4 3 2 1 0
| | | | | |
| | | | | |
ก. ก่อนเข้าฟังบรรยาย
ข. หลังเข้าฟังบรรยาย
(2) ความเหมาะสมของการนำเสนองาน
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
ก. เนื้อหาของการนำเสนองานมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
ข. เอกสารประกอบการนำเสนองานมีเนื้อหาครบถ้วนชัดเจน
ค. ความเหมาะสมของระยะเวลาที่ใช้ในการนำเสนองาน
(3) วิทยากร
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
ก. ความรอบรู้ในหัวข้อที่จัดนำเสนองาน
ข. ความสามารถในการถ่ายทอดเนื้อหา
ค. การใช้สื่อประกอบการนำเสนองาน
ง. การเตรียมตัว
(4) การบริการ สถานที่
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
ก. ความสะดวกในการติดต่อประสานงานในการนำเสนองาน
ข. การอำนวยความสะดวกระหว่างการนำเสนองาน
ค. ความพึงพอใจในสถานที่/อาหาร/ห้องนำเสนองาน
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
| | | | | |
(5) การนำความรู้จากการนำเสนองานไปใช้
(6) การใช้เทคนิคของ PowerPoint ในการนำเสนองาน
ก. ภาพพื้นหลัง
ข. การเคลื่อนไหวแบบกำหนดเอง
ค. เนื้อหาในสไลด์
ค. เอกสารประกอบการบรรยาย
(7) ความรู้ที่สามารถนำไปใช้……………………………………………………………………………………………………………………………………………...
(8) การนำความรู้ในการบรรยายไปใช้ในงานวิชาชีพ ……………………………………………………………………………………………………........
(9) ข้อเสนอแนะ………………………………………………………………..……………………………………………………………….................………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………....
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
โดยภาพรวม ท่านพอใจกับการบรรยายครั้งนี้ มากน้อยเพียงใด
£ ดีมาก £ดี £ พอใช้ £ น้อย £ น้อยมาก
ด้วยความขอบคุณยิ่งจาก ผู้บรรยายเรื่อง ………………………………………..
ผู้ประเมิน ชื่อ ........................................................................................
ชุดที่ ………………..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)